Goooooogle Analytics

fancyfish

วันอาทิตย์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2552

อาหารปลาทอง

siamese fighting fish,betta fish,fancyfish,Fighting fish,Betta splendens,fancy fish,gold fish,arowana,pet,pet shop,dog,dog training,cat,ปลาสวยงามของไทย,ปลากัด,ปลาหางนกยูง,ปลาหมอสี,ปลาทอง,ปอมปาดัวร์,อะโรวาน่า,ข่าวสารปลาสวยงาม,การเพาะเลี้ยงปลาสวยงาม,ธุรกิจปลาสวยงาม,

เรื่องควรรู้เกี่ยวอาหารปลาทอง




อาหารที่ใช้เลี้ยงปลาทองมีหลากหลายชนิด
ทั้งอาหารมีชีวิตและอาหารสำเร็จรูปซึ่งแต่ละชนิดมีคุณค่าทางอาหารต่างกันไป
การเลือกใช้อาหารแต่ละชนิดขึ้นกับความเชื่อและความสะดวกของผู้เลี้ยง
แต่ไม่ว่าจะให้อาหารชนิดใดก็แล้วแต่ สิ่งสำคัญที่ต้องคำนึงถึงที่สุดคือ
ปริมาณการให้ที่เหมาะสมและความสะอาดของอาหารที่ให้


ชนิดของอาหาร

1.อาหารมีชีวิตหรืออาหารสด ปลาทองเป็นปลาที่กินได้ทั้งพืชและสัตว์
แต่อาหารที่พวกมันชอบมากที่สุดก็คง

หนีไม่พ้นลูกน้ำ ไรแดง ไรทะเล หนอนแดง และไส้เดือนน้ำ

ลูกน้ำ
อาหารชั้นเลิศที่เพาะเลี้ยงต่างเสาะหามาให้ปลาของตนกิน
เป็นอาหารที่มีโปรตีนสูงย่อยง่าย ปลากินแล้วโตเร็ว แต่มักมีปัญหาเรื่องโรค
เพราะลูกน้ำมักเกิดในแหล่งน้ำที่สกปรก
เพราะฉะนั้นก่อนนำมาให้ปลากินควรมีการล้างทำความสะอาดให้ดีเสียก่อน


ไรแดง เป็นอาหารสำหรับอนุบาลลูกปลาวัยอ่อนหรือให้ปลาโตกิน มีทั้งมาจากการเพาะเลี้ยงและมาจากแหล่งน้ำธรรมชาติ ส่วนใหญ่มาจากแหล่งน้ำธรรมชาติ ก่อนให้ปลากินควรล้างทำความสะอาดให้ดีเสียก่อน ไรแดงมีชีวิตอยู่ได้ประมาณ 2 วัน หรือถ้าต้องการเก็บรักษาไว้ใช้นานๆก็นำไปแช่ในช่องฟรีซ แต่ชอบกินไรแดงเป็นๆมากกว่า






ไรทะเล

เป็นอาหารมีชีวิตที่ค่อนข้างสะอาด เพราะอาศัยอยู่ในน้ำเค็ม แต่ก็ใช้ว่าไม่มีเชื้อโรคเลย
เพราะบางครั้งเชื้อโรคอาจมาจากการใช้กระชอนที่ไม่สะอาดตักไรทะเลให้ปลากิน หรือใส่ไรทะเลในภาชนะที่ไม่สะอาด ส่วนใหญ่ไรทะเลที่ใช้ในการเพาะเลี้ยงปลาทองมาจากฟาร์มเพาะเลี้ยงแถบทั้งนั้น การเก็บรักษาไรทะเลก็ให้ทำเหมือนกับการเก็บไรแดง เพียงแต่ต้องใส่เกลือลงไปในน้ำเพื่อให้น้ำมีความเค็ม

หนอนแดง

เป็นอาหารที่นิยมใช้ในการเลี้ยงปลาทอง เพราะเชื่อว่ามีสารเร่งสีตามธรรมชาติอยู่ในตัวเนื่องจากเป็นอาหารที่มาจากแหล่งน้ำธรรมชาติเหมือนกับลูกน้ำและไรแดง ก่อนนำมาใช้ต้องล้างทำความสะอาดเสียก่อน
แต่ปัจจุบันผู้ผลิตอาหารปลาหลายรายนำหนอนแดงสดไปฆ่าเชื้อโรคด้วยโอโซนและแพ็คด้วยกระดาษฟอยด์ สามารถเก็บรักษาไว้ได้นานด้วยการแช่แข็ง

ไส้เดือนน้ำ

เป็นอาหารมีชีวิตที่มาจากแหล่งน้ำธรรมชาติมีโปรตีนสูงพอสมควร แต่ที่ไม่ค่อยมีใครนิยมนำมาใช้เลี้ยงปลาทองเพราะไส้เดือนตายง่าย การเก็บรักษาค่อนข้างยุ่งยาก เพราะต้องใส่ในภาชนะที่มีน้ำไหลผ่านอยู่ตลอดเวลาหรืออาจต้องเปลี่ยนถ่ายน้ำบ่อยๆจึงจะมีชีวิตอยู่ได้นาน



ข้อควรปฎิบัติในการนำอาหารมีชีวิตมาให้ปลากิน

1.อาหารหลายชนิดมาจากแหล่งน้ำธรรมชาติ
เพราะฉะนั้นก่อนนำมาให้ปลากินต้องล้างน้ำเปล่าให้สะอาด และแช่ในด่างทับทิมเข้มข้น
100-150 ppm นาน 3-5 นาที

2.หมั่นคัดตัวที่ตายออกจากภาชนะที่ใส่
เพราะตัวที่ตายจะหมักหมมจนก่อให้เกิดเชื้อโรคได้

3.ไม่นำกระชอนหรือภาชนะที่ใส่อาหารมีชีวิตไปใช้ปะปนกัน
ก่อนนำไปใช้ควรล้างทำความสะอาดให้ดีเสียก่อน

ข้อดีของอาหารมีชีวิต

- มีเส้นใยมาก ย่อยง่าย ทำให้ปลากินได้บ่อยครั้ง

- อาหารมีชีวิตมีองค์ประกอบของกรดอะมิโนอิสระที่สำคัญ ซึ่งช่วยในการเจริญเติบโต

- มีสารสีธรรมชาติที่ปลาไม่สามารถสังเคราะห์ได้เอง

- ช่วยสร้างภูมิต้านทานโรคให้ปลา

- มีราคาต่ำ

องค์ประกอบทางเคมีของอาหารมีชีวิตแต่ละชนิด


2.อาหารสำเร็จรูป ที่นิยมใช้เลี้ยงปลาทอง ได้แก่ อาหารเม็ด
ควรเลือกอาหารที่มีโปรตีนสูงจะทำให้ปลาเจริญเติบโตดีและมีสีสันสวยงาม
อาหารที่มีโปรตีนต่ำทำให้ปลาเจริญเติบโตช้าและมีความสมบูรณ์ทางเพศน้อยหรือถ้าอาหารมีปริมาณโปรตีนมากเกินไปอาจทำให้ปลาขับถ่ายของเสียออกมามาก
ปริมาณแอมโมเนียในน้ำมีสูง ทำให้เป็นพิษต่อปลา
อาหารสำเร็จรูปหลากหลายยี่ห้อในปัจจุบันมีส่วนผสมของสารเร่งสีที่ช่วยในการเร่งสีปลา
ก่อนซื้อมาใช้ก็ควรดูส่วนผสมที่ข้างซองก่อนว่ามีสารเหล่านี้ผสมอยู่มากน้อยเพียงใด

ส่วนใหญ่สารเร่งสีที่ผสมอยู่ในอาหารสำเร็จรูปนั้น จะเป็นสารเร่งสีในกลุ่มเบต้าแคโรทีน
Beta-carotene อย่างสารลูทีน (Lutein) ซีอาแซนทีน (Zeaxanthin) และแอสตาแซนทีน (Astaxanthin)
ส่วนสารสีในกลุ่มอื่น เช่น ไลโคพีน(Lycopene) พบมากในพืชจำพวกมะเขือเทศและแครอท
แม้ว่าเป็นสารจำพวกเบต้าแคโรทีนเหมือนกัน แต่ก็ไม่สามารถเร่งสีแดงในปลาทองได้
เนื่องจากร่างกายของปลาทองไม่มีกลไกลในการเปลี่ยนสารไลโคพีนให้เป็นแอสตาแซนทีน
ตรงข้ามกับสาหร่ายสไปรูลิน่า (Spirulina)
ที่สามารถเร่งสีแดงของปลาทองได้เป็นอย่างดี เนื่องจากสาหร่ายดังกล่าวมีสารสีประเภทลูทีนและซีอาแซนทีน
ซึ่งร่างกายของปลาทองมีกลไกลบางอย่างที่สามารถเปลี่ยนลูทีนและซีอาแซนทีนไปเป็นแอสตาแซนทีนและนำไปใช้ประโยชน์ได้

คุณสมบัติของสาหร่ายสไปรูลิน่า นอกเหนือจากเร่งสีแดงให้ปลาทองแล้ว
มีปริมาณโปรตีนสูง 50-60% มีกรดไขมันที่เป็นประโยชน์ต่อปลา
สารสีที่พบในสาหร่ายยังเป็นสารตั้งต้นของสารที่มีประโยชน์ต่อการเจริญเติบโตของปลา
เช่น สารตั้งต้นของวิตามินเอและฮอร์โมนบางชนิด

การเก็บรักษาสาหร่ายสไปรูลิน่า

ควรเก็บไว้ในตู้เย็นและมืด ภาชนะบรรจุควรอยู่ในถุงฟอยด์ที่ปิดมิดชิด
อากาศเข้าไม่ได้ เนื่องจากสารสีเหล่านี้มีความไวต่อแสงสว่างและออกซิเจน
หากสัมผัสอากาศนานๆจะเกิดการอ๊อกซิแดนท์ ในการผสมสาหร่ายในอาหารปลา
ควรใช้ในปริมาณน้อยๆพอให้ปลากินหมดในแต่ละมื้อ ไม่ควรผสมคราวละมากๆแล้วทิ้งไว้
เพราะทำให้คุณสมบัติบางอย่างสูญเสียไป





ข้อดีของอาหารสำเร็จรูป

- มีสารอาหารครบถ้วน

- สะอาดปลอดภัย และเก็บไว้ได้นาน

- มีให้เลือกหลายชนิด และสะดวกต่อการใช้

หลักในการให้อาหารปลาทอง

1.ปลาในแต่ละช่วงอายุจะมีความต้องการอาหารไม่เท่ากัน

ลูกปลาเล็กขนาดไม่เกิน 2 นิ้ว อายุไม่เกิน 2 เดือน
มีความต้องการโปรตีนประมาณ 60%-80% เพื่อการเจริญเติบโต

ปลาวัยรุ่นขนาดไม่เกิน 3 นิ้ว อายุระหว่าง 2-4 เดือน มีความต้องการโปรตีน
ประมาณ40%-60% เพื่อให้เกิดความสมบูรณ์ทางเพศ

ปลาโตเต็มวัยขนาด 3 นิ้วขึ้นไป อายุ 4 เดือนขึ้นไป มีความต้องการโปรตีน
ประมาณ 30%-40%

2.การให้อาหารปลาทองควรให้วันละ 3-5% ของน้ำหนักปลา
เช่นปลาที่เลี้ยงไว้ทั้งหมด น้ำหนัก 500 กรัม ควรให้อาหารเม็ดวันละ 15-25 กรัม
(ปลาทอง ขนาดความยาว 12.5 ซม. จะมีน้ำหนักเฉลี่ยอยู่ที่ 100 กรัม)

3.แบ่งมื้ออาหารในการให้ออกเป็นหลายมื้อ ถ้าไม่มีเวลาอย่างน้อยๆก็ควรให้วันละ
2 มื้อ

4.ปริมาณอาหารที่ให้ในแต่ละมื้อไม่ควรให้มากเกินไป ปลาควรกินให้หมดภายใน 15
นาที

5.ควรให้อาหารปริมาณน้อยแต่บ่อยครั้ง

6.ปลาไม่ยอมกินอาหารที่ไม่เคยกินมาก่อนจึง ต้องมีการฝึกให้กินอาหารนั้นก่อน

7.การเลือกชนิดอาหารและปริมาณในการให้อาหาร
ต้องคำนึงถึงระบบการจัดการน้ำในการเลี้ยง

8.ก่อนนำอาหารที่มีชีวิตมาให้ปลากินควรล้างทำความสะอาดให้ดีเสียก่อน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็นกับบทความนี้